หนึ่ง
พอได้ฟังพวกเพลง “ดีเกินไป” หรือ “…ก่อน” ตลอดจนวัตถุความทรงจำเกี่ยวกับยุค 90 ภายในหนัง ก็จะเกิดความอยากเรื่องหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะสร้างเรื่องเล่าดีๆ ที่มีวัฒนธรรมในยุค 90 เป็นแก่นกลางของตัวเรื่อง มิใช่บริบทแวดล้อม ฉากหลังรางๆ หรือกิมมิกน่ารักๆ
เพราะผมรู้สึกว่าวัฒนธรรมยุค 90 ยังไม่ได้เป็นแกนกลางในเรื่องเล่าของหนังไทยอย่าง “ดิว ไปด้วยกันนะ” หรือกระทั่ง “2538 อัลเทอร์มาจีบ” เสียทีเดียว
ผมยังอยากอ่านหนังสือหรือดูหนังสารคดี-หนังฟิกชั่น ที่พูดถึงเพลงยุค 90, วัฒนธรรมวิทยุ-โทรทัศน์ยุค 90, วงการหนังไทยยุคโพสต์ต้มยำกุ้ง, พวกอาชีพที่ไม่ค่อยจะเหลือรอดแล้ว เช่น นักวิจารณ์บันเทิงและนักแต่งเพลงในค่ายใหญ่ เรื่อยไปถึงความฝันของสังคมไทยและสภาวะการเมืองไทยตั้งแต่กลาง 2530-กลาง 2540 กันอย่างจริงจังตลอดทั้งเรื่อง/เล่ม
เรื่องเล่าประเภทนี้ (ซึ่งทำให้ “ยุค 90” เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอ้างอิงกับปัจจุบันมากนัก) อาจจะทำให้เราพินิจพิจารณาประวัติศาสตร์สังคม-วัฒนธรรมของ “ยุค 90” อย่างแตกต่างออกไป แทนที่จะปฏิบัติต่อมันในฐานะนิทานเปรียบเทียบซึ่งช่วยทำความเข้าใจปัจจุบันหรือความรู้สึกโหยหาอดีตที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน เพียงเท่านั้น
(หรือเปล่า?)
สอง
ตามความเห็นส่วนตัว ประเด็นน่าสนใจที่แฝงอยู่ภายใต้เรื่องราวเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด/การระลึกชาติเชิงปาฏิหาริย์ ใน “ดิว ไปด้วยกันนะ” ก็คือ ปัญหาว่าด้วยการสืบทอดภารกิจ การส่งมอบคุณค่าบางประการ และการดำรงอยู่ของความมุ่งมั่นใฝ่ฝัน/อุปสรรคบางอย่าง ท่ามกลางภาวะเปลี่ยนผันของวันเวลา
(นี่ทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกมีปัญหากับหนังช่วงครึ่งหลัง และออกจะชอบมันอยู่มากพอสมควร)
อารมณ์ความรู้สึก ความรัก ความทรงจำ เกี่ยวกับ “ดิว” ยังคงอยู่ในตัวตนของ “ภพ” คนเดิม
ขณะเดียวกัน อารมณ์ความรู้สึก ความรัก ความทรงจำ เกี่ยวกับ “ดิว” และ “ภพ” ก็ถูกส่งมอบสืบต่อมาถึง “หลิว”
วัตถุพยานความรักและความใฝ่ฝันส่วนบุคคลของเด็กหนุ่มสองคนเมื่อกว่าสองทศวรรษก่อน ที่ปรากฏผ่านเพลง “…ก่อน” และ กิจกรรม “บันจี้จัมพ์” ยังคงไหลเลื่อนแทรกซึมเข้าสู่สายสัมพันธ์แหวกจารีตระหว่างครูกับศิษย์ ณ ต้นทศวรรษ 2560
บรรทัดฐานทางสังคมต่างชุด ที่คอยจัดการกับกรณี “รักร่วมเพศ” ระหว่างเพื่อน และกรณี “การล่วงละเมิดทางเพศ” ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก คืออุปสรรคกีดกั้นที่คอยขัดขวางความรักบริสุทธิ์ของปัจเจกบุคคลสองรายในทุกยุคสมัย
คล้ายคลึงกับที่ “แม่ดิว” และ “เมียภพ” พยายามทำหน้าที่อย่างเดียวกัน คือ การแสดงออกซึ่งความรักในนามของครอบครัว เพื่อเหนี่ยวรั้ง “ลูกและสามี” ไม่ให้จากไป ทว่าล้มเหลว
ณ ฉากสำคัญช่วงท้ายเรื่อง “ครูรัชนี” ซึ่งเป็นตัวละครคนหนึ่งที่มีบทบาทในทั้งสองช่วงเวลา และรู้จัก “ดิว-ภพ-หลิว” ดี ได้ให้โอวาทแก่ “ครูภพ” หลังกระทำเรื่องพลาดพลั้งซ้ำสองว่า เขาควรจะต้องปล่อยวางอดีตเสียบ้าง อย่าไปยึดติดกับมัน
นี่เป็นคล้าย “สัจธรรม” ที่ฟังดูสมเหตุสมผล และมักเป็นบทสรุปที่หนัง/ละคร/นิยายซึ่งเล่าเรื่องราวผ่านธีมการรำลึกความหลัง มักเลือกจะลงเอย
“สัจธรรม” เช่นนั้นคืออุปสรรคลำดับที่สาม สำหรับ “ภพ” และ “ดิวในร่างหลิว”
อย่างไรก็ดี “ภพ” กับ “หลิว/ดิว” กลับยึดติด ไม่ปล่อยวาง และเลือกจะดิ่งจมลงสู่ห้วงความสัมพันธ์ที่หลายคนพิพากษาว่าเป็นไปไม่ได้ เพื่อสืบสานภารกิจที่พวกตนเคยประสบความล้มเหลว (สำหรับผม การไม่เชื่อฟัง “ครูรัชนี” และการต่อยพ่อของ “ภพ” นั้นแทบจะเป็นการต่อสู้ขัดขืนในลักษณะเดียวกัน)
ด้านหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาพยายามสานต่อ อาจเป็น “คุณค่าสากล” (เช่น รักแท้หรือรักบริสุทธิ์) ที่ปักหลักมั่นคงท้าทายกาลเวลา
อีกด้านหนึ่ง นี่อาจเป็นสัญลักษณ์/ภาพแทนของ “จิตวิญญาณ/อารมณ์ความรู้สึกแห่งยุคสมัยหนึ่ง” (จิตวิญญาณ-อารมณ์ความรู้สึกของวัยรุ่นยุค 90) ซึ่งพุ่งทะลุผ่านมิติเวลา โดยมีบางคนเท่านั้นที่พร้อมจะอินและเข้าอกเข้าใจมัน
นี่คือคุณลักษณ์สองด้านที่สอดประสาน-ช่วยผลักดันให้ความใฝ่ฝันและสายสัมพันธ์บางประเภทของผู้คนบางคู่บางกลุ่ม ดำเนินต่อเนื่องไปได้ไม่มีวันสิ้นสุด
สาม
กรณีจับ “เด็กผู้ชายเบี่ยงเบน” ไปฝึกวินัยที่ค่ายทหารในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงอีกกรณีหนึ่ง สมัยตัวเองขึ้น ม.4
ครั้งนั้น มีเพื่อนร่วมรุ่นของผมจำนวนไม่น้อยที่เกรดเฉลี่ยตอน ม.ต้น ไม่มากพอจะได้เรียนต่อในระดับมัธยมปลาย ทางโรงเรียนจึงจัดโครงการพิเศษ โดยให้เพื่อนๆ กลุ่มดังกล่าว ที่ยังอยากเรียนต่อ ไปบวชเณรที่วัดข้างๆ โรงเรียน และพวกเขาต้องเดินข้ามถนนมาเรียนหนังสือในฐานะสามเณร ตลอดช่วง ม.4 เทอมหนึ่ง
จำได้ว่ามีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งที่มีทั้งรูปลักษณ์หน้าตา ชื่อ และนามสกุล เป็นอาหรับ (แต่ไม่แน่ใจว่าเขานับถือศาสนาอะไร) ซึ่งต้องบวชเณรในโครงการนั้นด้วย
โครงการบวชเณรหนนั้นอาจจัดขึ้นด้วยจุดประสงค์คนละเรื่องกับโครงการจับเด็กไปฝึกทหารใน “ดิวฯ” แต่ทั้งสองโครงการก็สะท้อนให้เห็นวิธีแก้ปัญหาในแบบรัฐไทยที่คล้ายคลึงกัน
1 Comment