(เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์)
ไปไกลกว่า “ไลท์โนเวล”
ระยะหลังๆ ผมมักรู้สึกว่า “วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง” ซึ่งทำหนังและเขียนนิยายควบคู่กันไป ดูจะได้รับอิทธิพลจากงานแนว “ไลท์โนเวล” มาอย่างเด่นชัด
การบอกว่าหนังของวิศิษฏ์มีลักษณะเป็น “ไลท์โนเวล” มิได้หมายความว่างานเหล่านั้นเป็นหนังไม่ดี หรือมีความอ่อนด้อยทางศิลปะ
ตรงกันข้าม งานแบบ “ไลท์โนเวล” มักห่อหุ้มไว้ด้วยพล็อตเรื่อง บุคลิกลักษณะตัวละคร หรือรายละเอียดเกร็ดข้อมูลประกอบเรื่องราว ที่น่าตื่นตาตื่นใจบางอย่าง
ขณะเดียวกัน สารที่ดำรงอยู่ภายในก็ต้องถูกนำเสนอออกมาอย่างคมชัด กระชับง่าย มีคำตอบให้แทบทุกปมปัญหาในเรื่องราว หรือต้องคลี่คลายสะสางความซับซ้อนยุ่งเหยิงทั้งหลายให้เป็นระเบียบเรียบร้อยในตอนท้าย
ลักษณะเด่นประการหลังนี่เองที่อาจก่อให้เกิดผลลัพธ์อันน่าเสียดายในผลงานยุคหลังของวิศิษฏ์อยู่บ้าง ตั้งแต่หนัง-นิยาย “รุ่นพี่” นิยาย “เปนชู้กับผี” และหนังสั้น “Catopia” ใน “Ten Years Thailand”
เพราะสิ่งที่ต้องแลกกับความชัดเจน ก็คือ เสน่ห์ของความลุ่มลึกคลุมเครือที่หายไป
“สิงสู่” ก็เกือบๆ จะมีอาการทำนองนั้น คือหนังพยายามอธิบายปมปัญหาหรือเปิดเผยเงื่อนปมหลายประการเอาไว้แบบชัดๆ ไม่ปิดบัง
กระทั่งปมปัญหาสำคัญข้อแรกที่ควรมีไว้เพื่อหลอกผู้ชมให้หลงทาง ก็อาจถูกคนดูจำนวนไม่น้อยจับทางหรือนึกหาคำตอบในใจได้ ก่อนที่หนังจะเฉลยมันออกมาบนจอ
ยังดี ที่วิศิษฏ์ไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่เขาเลือกจะเดินทางไปให้ไกลเกินขอบเขตเดิมๆ ในช่วงหลายปีหลังของตนเอง ด้วยการโยนปริศนาสำคัญข้อที่สองใส่คนดู แล้วก็ตัดสินใจปิดฉากภาพยนตร์ลงไปพร้อมกับการเพิ่งก่อกำเนิดขึ้นของปริศนาดังกล่าว
กระบวนท่าเช่นนี้ทำให้ผมชอบ “สิงสู่” ทั้งยังส่งผลให้หนังทำงานหรือติดค้างอยู่ในหัวผมได้ยาวนานขึ้น
“หนังหลายหน้า”
แม้ผมอาจไม่ชอบ “รุ่นพี่” มากนัก แต่จุดเด่นข้อหนึ่งที่หนังยาวเรื่องก่อนหน้านี้ของวิศิษฏ์แชร์ร่วมกับ “สิงสู่” ก็คือ พวกมันมีลักษณะเป็น “หนังสองหน้า” หรือ “หนังหลายหน้า” ซึ่งเปิดกว้างต่อการตีความ-เข้ารหัสของผู้ชม
ด้านหนึ่ง บางคนอาจพยายามตีความ “สิงสู่” ว่าเป็น “หนังการเมืองร่วมสมัยเข้มๆ” ตามจุดยืนของผู้กำกับที่กล้าแสดงความเห็นทางการเมืองของตนอย่างตรงไปตรงมาต่อสาธารณะ
ขณะเดียวกัน หนังก็ใส่ลูกเล่น-รายละเอียดบางอย่าง ที่ล่อหลอกชี้แนะให้ผู้ชมคิดเห็นไปทางนั้นได้จริงๆ
แต่อีกด้าน เราก็สามารถดู “สิงสู่” ในฐานะที่มันไม่ใช่ “หนังการเมืองร่วมสมัย” เลยก็ได้ โดยอาจมองว่านี่เป็นหนังผีไทยที่สนุก เขย่าขวัญ ตื่นเต้นทั้งเรื่อง แถมแปลกใหม่ไปจากมาตรฐานเดิมๆ ของเพื่อนร่วมตระกูลส่วนใหญ่
นอกจากจะเปิดโอกาสให้หนังสามารถเดินทางไปหาคนหมู่มากได้สะดวกขึ้น สภาวะ “สองหน้า” หรือ “หลายหน้า” อันลื่นไหลเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้ความพยายามจะแทนที่ตัวละคร กลุ่มตัวละคร สถานที่ ในหนัง ด้วยบุคคล คณะบุคคล สถานการณ์ในโลกความจริงแบบเป๊ะๆ ตรงไปตรงมา แลดูเป็นเรื่องตลกอยู่ไม่น้อย (แต่ก็น่าลอง)
นี่คือ “หนังการเมือง”?
ยากจะปฏิเสธว่า “สิงสู่” ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับสังคมการเมืองไทยร่วมสมัย
อย่างน้อยสุด หนังก็แสดงให้เห็นภาพถ่ายหมู่ของนายแม่และสานุศิษย์คนสำคัญแห่ง “สำนักจิตต์อสงไขย” ซึ่งระบุว่าถูกบันทึกไว้ในปี 2549
เราไม่แน่ใจว่าปี 2549 คือปีที่สำนักดังกล่าวก่อตั้งขึ้น หรือเป็นปีที่สำนักเริ่มลงหลักปักฐาน/ฝังราก/สิงสู่อยู่ ณ ฐานที่มั่นดังปรากฏในหนังตลอดทั้งเรื่อง หรือเป็นปีที่สำนักเริ่มสถาปนาอำนาจ-ความเข้มแข็งของตนเองได้เป็นผลสำเร็จ
แต่น่าสนใจว่า ปี 2549 และรัฐประหาร ณ ขวบปีนั้น คือต้นเหตุสำคัญแห่งอาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่เกาะกินสังคมการเมืองไทยร่วมสมัย มาต่อเนื่องยาวนานเกินหนึ่งทศวรรษ
ก่อนหน้านี้ ผมได้ตามอ่าน/ชมบทสัมภาษณ์ของวิศิษฏ์ เกี่ยวกับหนัง “สิงสู่” โดยสำนักข่าวออนไลน์เจ้าต่างๆ แบบผ่านๆ (เพราะกลัวจะทำให้ดูหนังไม่สนุก)
แล้วผมก็เกิดอาการไขว้เขวขึ้นมาจนได้ ด้วยการแอบตั้งสมมุติฐานเบื้องต้นว่าถ้าตัวละคร “มนุษย์” ใน “สิงสู่” เกิดความกลัวในจิตใจ “ผีร้าย” ก็จะเข้าสิง ฉะนั้น มนุษย์ต้องไม่กลัวต่ออำนาจ ลัทธิความเชื่อ ตลอดจนมายาหลอกลวงไร้เหตุผลอื่นๆ
ส่วน “ผี” ในหนัง ก็คล้ายจะไม่ใช่เจ้าของร่างตัวจริง แต่เป็นผู้เข้ามาแย่งชิงยึดครองร่างของคนอื่น โดยไม่ได้รับเชิญ แถมทึกทักว่าร่างนั้นเป็นของตน
ก่อนดูหนัง ผมจึงเริ่มแปะป้าย ประทับตรา เลือกข้างให้ตัวละครสองฝ่ายไว้เสร็จสรรพ ว่าบรรดาตัวละคร “มนุษย์” และ “ผี” ใน “สิงสู่” น่าจะเป็นภาพแทนของใครในสังคมการเมืองไทย
ทว่าพอได้มาดูหนังจริงๆ สถานการณ์ดันกลับตาลปัตรไม่น้อย
เพราะเป็นพวกมนุษย์ซึ่งเปี่ยมด้วยกิเลสตัณหา (พอๆ กับผี) ต่างหาก ที่หลอกลวงกันและกัน ปิดบังความจริงระหว่างกัน ทรยศหักหลังกัน แม้จะอยู่ในครอบครัวหรือร่วมลัทธิพิธี ภายใต้หลังคาบ้านเดียวกัน
มนุษย์บางรายต่างหากที่ทำตนเป็น “นายผี” (นายแม่) หรือ “หมอผี” ซึ่งครอบงำผู้ศรัทธาด้วยพิธีกรรม ความศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิความเชื่อ หรือความทรงจำที่ถูกประดิษฐ์สร้างขึ้น แถมยังชักนำปัญหาวุ่นวายต่างๆ นานาเข้ามาสู่ครัวเรือน/สังคม
ตรงกันข้าม ฝูงผีวิญญาณเร่ร่อน กลับกลายเป็นตัวแทนของคนเล็กคนน้อย ผู้ถูกกระทำ ตกเป็นเหยื่อ เป็นคนชายขอบ ไร้สิทธิ์ ไร้เสียง ไร้ร่าง ไร้ที่อยู่อาศัย และต้องพลัดพรากจากลากัน แม้จะสังกัดในครอบครัวเดียวกัน
ในแง่นี้ ลัทธิ “จิตต์อสงไขย” จึงเป็นเหมือนสถาบันทางสังคม-การเมือง-ศาสนาบางอย่าง ที่ปกครองคนด้วยแนวคิดความเชื่อทางจิตวิญญาณ และพิธีกรรมอันซับซ้อน
ก่อนที่ผีในนามของ “ความผิดแผกแปลกประหลาดแสนบิดเบี้ยว” จากภายนอก จะเข้ามากร่อนเซาะ ทำลาย ท้าทาย อำนาจดังกล่าว
ยิ่งกว่านั้น บทสรุปที่กำกวม คลุมเครือ เปิดกว้าง และ “หลายหน้า” ของ “สิงสู่” ก็น่าสนใจมากๆ เพราะคนดูสามารถขบคิดตีความมันได้อย่างแตกต่างหลากหลายพอสมควร
อย่างน้อยที่สุด ผู้ชมจำนวนมากคงต้องเผชิญหน้ากับสองตัวเลือกอันสูสี ระหว่างการเชื่อว่า “นายแม่” จะสามารถนำพาลูกๆ ผ่านพ้นสถานการณ์ผีสิงไปได้อย่างลุล่วงปลอดภัย กับการสงสัยว่า หรือบรรดาวิญญาณเร่ร่อนสามตนจะสามารถสิงสู่ลงในร่างของมนุษย์เหล่านั้นได้สำเร็จ?
หรือบางคนอาจพยายามผสาน “สิงสู่” ให้แนบแน่นลงล็อกกับสังคมการเมืองไทยมากขึ้น ด้วยการตั้งคำถามว่า ก็ “นายแม่” และเหล่าลูกศิษย์ใช่ไหมล่ะ ที่สวดคาถาเรียกผีเข้ามาในบ้าน ครั้นพวกผีแปลกปลอมสามารถ “สิงสู่/ฝังรากลึก” ได้สำเร็จ “นายแม่” และลูกๆ ก็ต้องทุกข์ตรมประสาทเสียกันไปเอง
ตามการตีความแบบนี้ สำนัก “จิตต์อสงไขย” อาจเป็นภาพแทนของม็อบการเมืองบางกลุ่ม ขณะที่ “วิญญาณเร่ร่อน” อาจมิได้หมายถึงคนเล็กคนน้อยที่ถูกสังคมการเมืองเพิกเฉยละเลยเสียแล้ว
“หนังผี” ที่น่าสนใจ
“สิงสู่” คือ หนังผีไทยที่น่าสนใจแน่ๆ
นี่คือหนังผีที่พึ่งพาทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายของนักแสดง (โดยไม่เลือกใช้สอยเทคนิคพิเศษทางคอมพิวเตอร์ – ตามข้อมูลของผู้สร้าง) ซึ่งเป็นเทคนิควิธีการของหนังผีฝรั่งยุคหนึ่ง แต่แทบไม่เคยปรากฏในหนังผีไทย หรือหนังผีไทยร่วมสมัย
ในแง่การดำเนินเรื่องราว หนังมีจังหวะให้ตื่นเต้นอยู่เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม โทนอารมณ์ของ “สิงสู่” นั้นเข้าข่าย “เขย่า/กระตุกขวัญ” ผู้ชม มากกว่าจะทำให้หลอน หวาดกลัว ขนหัวลุก
พูดอีกอย่าง คือ ดีกรีความน่ากลัวของหนังไม่เข้มข้นเท่าปริศนาค้างคาใจ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องกลัว/ไม่กลัว) ที่ถูกทิ้งเอาไว้ในตอนจบ
ส่วนในแง่โครงสร้างความคิด การพยายามอธิบาย-ร้อยเรียงแนวคิดเรื่อง วิญญาณ ความทรงจำ การเดินทาง และการเปลี่ยนผ่าน เข้าหากัน ก็น่าสนใจดี เพียงแต่มันอาจถูกนำเสนออย่างชัดเจนเกินไปในหลายช่วงตอน ผ่านข้อความตัวหนังสือหรือคำพูดจากปากตัวละคร
ทั้งที่เอาเข้าจริง ประเด็นดังกล่าวได้แฝงเร้นอยู่แล้วอย่างทรงพลังในโครงเรื่องว่าด้วยสถานะตัวละคร-ความทรงจำ-วิญญาณ ที่ซ้อนไปทับมา ผ่านความสัมพันธ์ “แม่-ลูก” ของนายแม่และเดช “พ่อ-แม่-ลูก” ของเดช ปราง และลูกที่แท้ง “ลูกกำพร้า-ป้าที่เป็นเหมือนพ่อแม่” ของสร้อยกับเครือ และ “พ่อ-แม่-ลูก” ของวิญญาณเร่ร่อนสามดวง
มีรายละเอียดสองประเด็นที่ผมอยากกล่าวถึงเล็กน้อย
สิ่งแรก คือ เรื่องผีกับการฝังรากหรือรากงอก ทีแรก ผมทึกทักไปว่า “การฝังราก” ใน “สิงสู่” จะมีนัยยะของการยึดครองอำนาจในทิศทางแบบ “บนลงล่าง” หรือ “ศูนย์กลางแผ่ขยายออกสู่ชายขอบ”
แต่เมื่อดูหนังแล้ว “การฝังราก” แบบวิศิษฏ์ กลับทำให้ผมนึกย้อนไปถึงหนังเรื่อง “ตะเคียน” ของ “เฉลิม วงค์พิมพ์” ซึ่งยุคนั้น (พ.ศ.2546) คำว่า “รากหญ้า” กำลังเริ่มฮิตพอดี
สิ่งที่เฉลิมทำในหนังเรื่องดังกล่าว ก็คือ การกำหนดให้ “ผีนางตะเคียน” ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา ปล่อยรากตะเคียนที่ไม่ใช่แค่รากหญ้า (และใหญ่โคตรๆ) ออกมาทะลุทะลวงร่างของผู้มีอำนาจ
ผมรู้สึกว่า “การฝังราก” ของวิศิษฏ์ กับ “รากตะเคียน” ของเฉลิมนั้น อาจมีความหมายคล้ายคลึงหรือสอดคล้องกันบางส่วน
อีกรายละเอียดที่เข้าท่ามากๆ คือ เรื่องภาษา
ช่วงต้น “ภาษาบาลี” ถูกใช้โดย “นายแม่” และกลุ่มลัทธิพิธี ในฐานะที่เป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ ภาษาเรียกวิญญาณกลับคืนร่าง ภาษาสะกดผีเร่ร่อน
แต่ท้ายที่สุด เราจะพบว่าบรรดาผีก็สื่อสารกันด้วยภาษานี้ แม้กระทั่งวิญญาณเร่ร่อนก็ยังนัดแนะกันผ่านภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ข้างต้น
เท่ากับว่าฐานานุศักดิ์หรือลำดับชั้นทางภาษาได้ถูกพังทลายลงโดยปริยาย
ข้อน่าเสียดายและภาพประทับใจของ “นักแสดง”
แน่นอน ทีมละครเวที “บี-ฟลอร์” มีบทบาทอย่างสูงในการกำกับและออกแบบการแสดงให้แก่หนังเรื่องนี้ ซึ่งนับเป็นงานเบื้องหลัง
แต่ผมยังอดเสียดายไม่ได้ว่า สำหรับงานเบื้องหน้า วิศิษฏ์ใช้สอยทรัพยากรบุคคลกลุ่มนี้น้อยไปนิด
สุดท้าย “ธีระวัฒน์ มุลวิไล (คาเงะ)” ก็ยังไม่ได้รับที่ทางหรือบทบาทการแสดง “เจ๋งๆ” ในโลกภาพยนตร์เสียที
“จารุนันท์ พันธชาติ” อาจได้รับบทที่มีมิติซับซ้อนกว่า “คาะเงะ” แต่นั่นก็ยังเป็นบทรอง ซึ่งไม่ได้ใช้ศักยภาพของเธอชนิดเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
ส่วน “อนันดา-จ๋า” นั้นทำหน้าที่ได้ตามมาตรฐาน
จาก “ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา” ใน “เปนชู้กับผี” มาจนถึง “ทาริกา ธิดาทิตย์” ใน “สิงสู่” เราได้เห็นว่าวิศิษฏ์มีความฉลาดในการเลือกนักแสดงหญิงรุ่นใหญ่มาร่วมงาน
คุณลักษณะที่มาพร้อมกับนักแสดงอาวุโสกลุ่มนี้ ไม่ใช่เพียงฝีมือการแสดงที่เชื่อถือได้ แต่ยังรวมถึงบุคลิก หน้าตา ท่าทาง ร่างกายสูงสง่าน่าเกรงขาม อันเหมาะสมกับบทบาท (ทัศน์วรรณเคยพอฟัดพอเหวี่ยงกับ “สุพรทิพย์-ศิรพันธ์” ยังไง ทาริกาก็กด “จ๋า ณัฐฐาวีรนุช” ได้อยู่หมัดในทำนองเดียวกัน)
นักแสดงที่ผมประทับใจอีกราย คือ “พลอย ศรนรินทร์” ที่บุคลิกสดใสแฝงแววตาเศร้าๆ ของเธอ ดูมีเสน่ห์ลึกลับดี นอกจากนี้ ในซีนย้อนอดีตที่เธอแต่งชุดนักเรียนนั้น พลอยช่างมีใบหน้าที่เหมือนกับ “จินตหรา สุขพัฒน์” สมัยสาวๆ แบบสุดๆ
คำเตือน!
ยังยืนยันและอยากย้ำเตือนปิดท้ายว่า ผลงานหนังยาวในระยะหลังๆ ของวิศิษฏ์นั้นมีลักษณะ “หลายหน้า”
ดังนั้น จะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเราไปพยายาม “กักขัง” ตัวละครในหนังของเขา ให้ลงล็อกประกบติดเข้ากับตัวแสดงต่างๆ ในโลกความจริงของสังคมการเมืองไทย กระทั่งไม่เหลือที่ว่างสำหรับภาวะไหลเลื่อนหรือความเป็นไปได้ชนิดอื่นๆ บ้างเลย